ตามรอยเท้าพ่อ พออยู่พอเพียง คุณลุงประทีป มายิ้ม ต้นแบบพอเพียงอย่างยั่งยืน

47

วันนี้ผู้เขียนมีเรื่องราวดีๆของการดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งความสุข ตามรอยเท้าพ่ออยู่หัวของเราน่ะครับ เป็นการทำการเกษตรแบบพออยู่ พอดี พอเพียงแบบยั่งยืน ของเกษตรต้นแบบที่น่าสนใจและน่าเอาเป็นแบบอย่าง คือวิถีพอดีพอเพียงของคุณลุง ประทีป มายิ้ม เจ้าของบ้านมายิ้มนั่นเองครับ คุณลุงมีแนวคิดและการใช้ชีวิตที่น่าทึ่งเป็นแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ แต่บางครั้งลืมคิดถึงเรื่องง่ายที่คุณลุงเค้าไม่เคยมองข้ามนั่นเองครับ ติดตามเรื่องราวดีๆและสาระน่ารู้ที่บ้านน้อยสรรหามาเล่าได้ที่นี่ Baannoi.com

[adinserter block=”2″]

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย ได้ทรงเป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตพอเพียงให้กับประชาชนชาวไทยเรา ได้เดินตามรอยเท้าพ่อ ซึ่งก็มีเกษตรกรหลายกลุ่มหลายท่านที่นำมาปฏิบัติและทำมาสำเร็จหลายต่อหลายท่านแล้วน่ะครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงได้มีพระราชดำรัสไว้ เนื่องในวันเฉลิมพระชนพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541 เกี่ยวกับการพอเพียงไว้ว่า

“สมัยก่อนนี้พอดีพอกิน สมัยนี้ชักไม่พอมีพอกิน

จึงต้องมีนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียง

เพื่อจะให้ทุกคนมีความพอเพียงได้

ให้พอเพียงนี้ ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่

ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ”

วันนี้ผู้เขียนก็ได้มีเรื่องราวการดำรงชีวิตตามรอยเท้าพ่อ พออยู่ พอกิน พอเพียง แบบยั่งยืน ของคุณลุงประทีป มายิ้ม มาเป็นแนวทางคิดและแบบอย่างให้แก่ท่านผู้อ่่านได้รับชมกันน่ะครับ น่ายกย่องและน่าเอาเยี่ยงและอย่างเป็นอย่างมากเลยครับ

ตามรอยเท้าพ่อ

ภาพจากรายการเกษตรนิวส์ คุณลุงประทีป มายิ้ม เกษตรต้นแบบ พออยู่ พอกิน

คุณลุงประทีป มายิ้ม เป็นเกษตรกรต้นแบบและเปิดบ้านและสวนของคุณลุงเอง ที่มีเนื้อที่ 1 ไร่เป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับประชาชนหรือท่านที่ต้องการศึกษาความรู้ด้านการเกษตรได้เข้าไปศึกษากันครับ “สวนพออยู่ พอเพียง บ้านมายิ้ม” ของคุณลุงประทีป มายิ้ม ตั้งอยู่ที่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นี่เองครับ เดิมทีนั้นคุณลุงประทีป ก็ไม่ได้ทำอาชีพเกษตรเต็มตัวแบบนี้หรอกครับ คุณลุงเล่าว่า ได้ประกอบอาชีพรับเหมาทำไฟทำงานเช้าเย็นกลับ และก็ทุนเดิมคือได้เรียนจบทางด้านการเกษตรมาอยู่แล้ว ก็เลยอาศัยช่วงเวลาว่างหลังเวลาเลิกงาน ปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเอง พอผักพืชเยอะขึ้นรับประทานไม่ทันก็เลยนำไปแจกชาวบ้านใกล้เคียงและร้านส้มตำร้านอาหารตามสั่งบ้าง พอนำไปแจกบ่อยเข้าๆเพื่อนบ้านก็เริ่มเกรงใจก็เลยสั่งซื้อ และเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกลายเป็นว่าหยุดไม่ได้ ก็เลยหันมาทำจริงจัง แต่ก็ยังยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง เป็นที่ตั้งครับ

ตามรอยเท้าพ่อ

ภาพจากรายการเกษตรนิวส์ บ้านและสวนของลุงประทีป มายิ้ม เนื้อที่ 1 ไร่ ที่สร้างความสุขและรายได้ แบบเพียงพอ 

คุณลุงประทีป ได้กล่าวไว้ว่าจากเดิมที่ได้เริ่มทำ”สวนมายิ้ม”อย่างจริงจริงเพราะมีออเดอร์สั่งพืชผักเข้ามาจำนวนมากขึ้นนั้น เริ่มแรกก็เริ่มจากการลงทุนที่มากและก็เริ่มลดลง แต่รายรับนั้นเพิ่มมากขึ้น นั่นก็มาจากการดำรงชีวิตที่ได้มาจากพ่อหลวง คือปลูกสิ่งที่กิน กินเหลือก็แจก พอเหลือแจก เราก็ขาย เพื่อสร้างรายได้ ลุงประทีปลูกพืชแบบคอนโด 7 ชั้น นั่นก็คือ ตั้งแต่ชั้นใต้ดินขึ้นมาเหนือดินและก็สูงขึ้นมาเป็นประเภทต้นไม้ยืนต้น มะละกอ กล้วย ผลไม้ที่เลื้อยตามห้างก็ปลูกครับ ลูกฟักข้าว,เสาวรส,แก้วมังกร ขิง,ข่า ตระไคร้ แบบว่าทุกอย่างที่สามารถนำมารับประทานเป็นอาหารได้ลุงประทีปปลูกหมดครับ

 

ตามรอยเท้าพ่อ

โซนพืชผักสวนครัว ในสวนมายิ้ม

คุณลุงประทีปแบ่งส่วนของสวนที่มีเนื้อที่ เพียง 1 ไร่ ออกเป็นส่วนๆครับ เดิมทีแล้วตรงที่บ้านและสวนของคุณลุงเป็นป่า แต่คุณลุงประทีปก็ได้ค่อยๆทำไปทีละโซนเมื่อสมัยยังทำรับเหมาอยู่น่ะครับ แล้วก็เริ่มทำจนเต็มพื้นที่ของจำนวนพื้นที่ 1 ไร่ คุณลุงจัดสวนให้เหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ต คือความคิดของคุณลุง คิดจากหลักการดำรงชีวิตของคนเรา คิดเมนูหลักที่เรารับประทานกันอยู่เป็นประจำมีอะไรบ้าง เช่นส้มตำที่คนไทยถือเป็นเมนูโปรด คุณลุงก็จะปลูก มะละกอซึ่งส้มตำใส่อะไรบ้าง ก็จะปลูกสิ่งนั้น ปลูกพริก,กระเทียม,มะนาว,มะเขือเทศ ขนมจีน ก็ปลูกใบโหระพา ข่า,ตระไคร้ ผักพืชสวนครัว คุณลุงปลูกหมดครับ 

ในสวนพออยู่ พอเพียง บ้านมายิ้ม ของคุณลุงทำสวนแบบเกษตรผสมผสาน ให้ทุกอย่างเกื้อหนุนกันเองและคุณลุงได้ทำสวนโดยการยึดการตลาดด้วยน่ะครับ ปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์แบบไม่เป็นแบบเชิงเดี่ยว ซึ่งสามารถแบ่งได้ว่าปลูกหรือเลี้ยงสิ่งที่ผู้คนสามารถรับประทานหรือต้องการทุกระดับ หรือฐานเงินเดือนตั้งแต่ฐานเงินเดือนน้อยๆ จนถึงคนระดับเงินเดือน 7 หมื่นกินได้ คือคุณลุงเลี้ยงกุ้งล๊อบสเตอร์ด้วยครับ น่าทึ่งไหมล่ะครับ เนื้อที่แค่ 1 ไร่คุณลุงสามารถสร้างรายได้ถึงปีล่ะ 6 แสนบาทเลยทีเดียว

คุณลุงประทีป มายิ้ม มีภรรยาคู่ใจ คือคุณ ธิดา มายิ้ม ซึ่งเดิมรับอาชีพราชการครูและปัจจุบันก็ทำเกษตรร่วมกันกับคุณลุง ภรรยาคุณลุงได้กล่าวว่าการทำเกษตรก็เหมือนการทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง และชอบในอาชีพเกษตรเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและที่สำคัญกิจกรรมที่ชอบ ยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับคุณลุงและครอบครัวอีกด้วย ก็ยิ่งเป็นการดีไปใหญ่

ในสวน มายิ้ม นี้ บริเวณที่เป็นโซนจัดบริเวณปลูกผักออกเป็นหมวดหมู่ ว่าพืชหมวดที่ปลูกลงใต้ดิน,พืชที่ปลูกประเภทกินใบ,กินผล และมีฐานหลักภายในสวน เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในการทำสวนคือ ปุ๋ยเคมีชีวภาพ หรือน้ำหมักEM คุณลุงจะทำไว้ใช้เอง ในสวนของคุณลุงจึงปลอดสารเคมี ไม่มีแมลงวันไม่มีศัตรูพืชในสวนของคุณลุงประทีปเลยครับ ต้นทุกของคุณลุงมีแค่เพียงซื้อกากน้ำตาลเพียงอย่างเดียว ที่เหลือเป็นวัสดุเหลือใช้ภายในสวนทั้งสิ้นครับ

ตามรอยเท้าพ่อ

ภาพจากรายการเกษตรนิวส์ ฐานแรกของสวนมายิ้ม คือการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือ น้ำหมักEM ไว้ใช้เอง 

คุณลุงประทีป ได้บอกไว้ว่าการทำงานทุกอย่างทุกอาชีพเหนื่อยเหมือนกันหมดครับก็จริงของคุณลุงน่ะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราเหนื่อยแล้วผลที่ตอบรับกลับมานั้นมันคุ้มกับการเหนื่อยของเราไม๊เรามีความสุขการทำงานนั้นหรือเปล่าจริงหรือเปล่าครับ อาชีพเกษตรถ้าเราทำตามกำลังของเราและบริหารจัดการให้ลงตัวก็ไม่เหนื่อยอย่างที่คิด และต้องทำอย่างมีความสุขก็จะเป็นการอยู่แบบมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำครับ งานของเราสวนของเรา ไม่ต้องมีเจ้านายไม่มีลูกน้อง ทุกคนเปรียบเสมือนครอบครัวใครเข้ามาขอความรู้ ที่สวนมายิ้มคุณลุงประทีปก็เต็มใจ ให้ความรู้ในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักEM หรือจะเป็นวิถีแนวทางความคิด การเพาะปลูกหรือแม้กระทั่งการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ 

ตามรอยเท้าพ่อ

ปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน และยังได้ทำหยดน้ำเพื่อให้กุ้งฝอยดีดตัวขึ้นมาวางไข่เป็นการกระตุ้นอีกทาง ในบ่อมีทั้งกุ้งฝอย,กุ้งก้ามกราม,กุ้งก้ามแดง

ในสวนมายิ้มคุณลุง ปลูกข้าวกินเองในแปลงนาพื้นเล็กๆ และในนาข้าวเล็กๆของคุณลุงก็มีมูลค่ามากมายมหาศาลเพราะในนาข้าวของคุณลุง ได้เลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือกุ้งล๊อปเตอร์เอาไว้ด้วย ซึ่งเป็นรายได้ที่คุณลุงได้กล่าวเอาไว้ว่า มีผลิตภัณฑ์ภายในสวนไว้ให้กับคนระดับเงินเดือน 7 หมื่นขึ้นรับประทานนั่นแหละครับ

ตามรอยเท้าพ่อ

ภาพจากรายการเกษตรนิวส์ การเลี้ยงกุ้งในนาข้าว ในสวนมายิ้ม

คุณลุงยังบอกอีกน่ะครับว่า คุณลุงไม่ได้เป็นคนเริ่มเลี้ยงกุ้งก้ามแดง เป็นคนแรกหรอกน่ะครับเหมือนเดิมครับ พ่อหลวงของเราได้ไปต่างประเทศและได้เป็นผู้นำกุ้งล๊อบสเตอร์นี้มาให้กับชาวเขาที่ดอยอินทนนท์ได้ทดลองเลี้ยง พระองค์ทรงคิดง่ายๆให้กับเกษตรกรว่ากุ้งที่มาจากเมืองหนาวหรือที่สูงน่าจะลองเลี้ยงในที่สูงๆเช่นภาคเหนือลองดู ก็เลยให้ชาวเขาทดลองเลี้ยงในนาข้าว โครงการนั้นถือว่าเป็นผลสำเร็จอย่างมโหฬาร เพราะว่ากุ้งที่เลี้ยงชุดนั้นได้นำมาเป็นอาหารบนโต๊ะเสวย ในงานฉลองการครองราชครบ 60 ปีของพระองค์ท่าน ซึ่งมี26ราชวงค์ที่เป็นแขกสำคัญที่มาร่วมงานกุ้งชุดนั้นที่เลี้ยงในนาข้าวก็ได้มาเป็นอาหารทรงเลี้ยง และเมื่อโครงการที่ดอยอินทนนท์ประสบผลสำเร็จ กุ้งชุดนั้นก็ถูกส่งถ่ายทอดมายังชาวเกษตรกรให้ทำการเลี้ยงเพื่อประกอบอาชีพกันต่อไปครับ

[adinserter block=”2″]

แรกเริ่มเดิมทีคุณลุงก็ไม่ได้ตั้งใจเลี้ยง กุ้งก้ามแดง หรือกุ้งล๊อปเตอร์นี่เองหรอกน่ะครับ คุณลุงเล่าว่าลูกสะไภ้ของคุณลุงมาเยี่ยมที่บ้าน และได้นำกุ้งมาฝากคุณลุง 4 ตัว ซึ่งซื้อมา 120 บาทคุณลุงก็ไม่รู้จะเลี้ยงแบบไหนก็เลยนำกุ้งไปไว้ในตู้ปลาเงินปลาทอง แล้วเมื่อเวลาผ่านไป4-5 เดือนลูกสะไภ้ลงมาเยี่ยมและได้ถามถึงกุ้งที่เคยให้ไว้ คุณลุงถึงนึกได้และได้ไปเปิดดูกุ้งก้ามแดงตัวโตมากและก็ออกลูกเต็มไปหมด จนคุณลุงไม่รู้จะเอาไว้ที่ไหน ก็เลยเอาไปไว้ในบ่อนั้นบ้างกล่องนี้บ้างและก็ในนาข้าวบ้าง ปรากฏว่าในนาข้าวประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดีที่สุดโตเร็วและไม่ได้ให้อาหารเลย เพราะในนาข้าวมีจอกแหนมีหอยมีตะไคร่น้ำเป็นอาหารของกุ้ง คุณลุงประทีป ก็เลยทำการศึกษาวิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงอย่างจริงจัง และได้กลายเป็นรายได้งามให้กับคุณลุงและขยายเครือข่ายแก่ชาวเกษตรกรต่อไปอีกด้วยครับ 

ตามรอยเท้าพ่อ

ภาพจากรายการเกษตรนิวส์ การเลี้ยงกุ้งก้ามแดง เริ่มต้นมาจากของฝากกุ้งตัวเล็กๆจากลูกสะไภ้นี่แหละครับ 

ในเนื้อที่แค่เพียง 1 ไร่ของคุณลุงประทีป มีครบวงจรครับ สัตว์น้ำปลากุ้งหอย กุ้งก็ตั้งแต่กุ้งฝอยกันเลยทีเดียวครับคือประมาณว่าคุณลุงไม่ได้มีรายจ่ายในแต่ละวันเลยก็ว่าได้ เพราะทุกอย่างในสวนของคุณลุงล้วนเป็นอาหารได้ทุกอย่าง เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เพื่อกินเนื้อและกินไข่ แถมขายได้อีก และทุกวันนี้คุณลุงก็ได้จัดตั้งสมาคมการค้ากุ้งก้ามแดงแห่งประเทศไทย และได้จัดตั้ง บริษัทไทยเกษตรอินทรีย์ แถมยังรับซื้อรับขายผลิตภัณฑ์ทางด้านการเกษตรทุกชนิด ที่เกษตรกรเลี้ยงกุ้งก้ามแดงและก็มีสิ่งต่อเนื่องในรูปแบบที่ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเน้นเฉพาะปลอดสารเคมีอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ

ในคุณลุงบอกว่าใครที่สนใจต้องการทำการเกษตรต้องการความรู้ หรือมีปัญหาด้านการเกษตรต้องการปรึกษาสามารถเข้ามาที่ สวนมายิ้มตั้งอยู่ที่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ได้ตลอดครับ คุณลุงยินดีให้ความรู้แก่ทุกท่าน และยังสนับสนุนให้ชาวเกษตรกรอย่าท้ออย่าถอยในอาชีพของตนเอง ทำไปเถอะครับเหมือนคุณลุงว่าทำอย่างมีเป้าหมายทำอย่างมีความสุขแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมหาศาลทั้งในด้านจิตใจและรายได้ที่เราได้รับครับ

 

ตามรอยเท้าพ่อ

ภาพจากรายการเกษตรนิวส์ คุณลุงประทีป มายิ้ม ที่สวนมายิ้ม เปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตร 

ผู้เขียนเองถ้ามีโอกาสก็จะแวะเข้าไปชมสวนมายิ้ม ของคุณลุงประทีป มายิ้ม แน่นอนครับชอบแนวความคิดและการกระทำของคุณลุงครับ ความสุขของคนเราอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมน่ะครับแค่เรารู้จักประมาณตน เหมือนพ่อหลวงท่านทรงได้สอนและได้กระทำเป็นแบบอย่างให้พวกเราชาวไทยได้เห็นกันมาโดยตลอด ตามรอยเท้าพ่อครับ พออยู่ พอกิน พอเพียง และเราก็จะเพียงพอ ไม่ต้องอะไรมากครับดูอย่างหลอดยาสีฟันของพระองค์ ทรงม้วนบิดจนหยดสุดท้ายเลยครับ พวกเราชาวไทยมีบุญมากครับที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินที่มีพระองค์เป็นพ่อหลวงของพวกเรา

ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ท่านผู้ที่เข้ามาอ่านเว็บบ้านน้อย ไม่มากก็น้อยน่ะครับ ติดตามเรื่องราวดีๆ ที่บ้านน้อยได้สรรหามาเล่า ได้ที่นี่ Baannoi.com

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากรายการเกษตรนิวส์